1. Trello

Trello software

Trello คือแพลตฟอร์มการจัดการโครงการที่ใช้ระบบบอร์ด (Board) และการ์ด (Card) เพื่อจัดระเบียบงานต่าง ๆ ให้เป็นขั้นตอนอย่างชัดเจน โดยผู้ใช้สามารถสร้างบอร์ดสำหรับแต่ละโปรเจกต์ เพิ่มการ์ดแทนงานย่อย และลากการ์ดระหว่างลิสต์เพื่อแสดงสถานะของงาน เช่น To Do, Doing, และ Done เหมาะสำหรับทั้งทีมเล็กและใหญ่ และสามารถทำงานร่วมกับแอปอื่น ๆ ได้ เช่น Google Drive, Slack และ Jira

จุดเด่น - การใช้งานแบบลากวางที่เข้าใจง่ายและเป็นภาพชัดเจน

ข้อดี
✅ ใช้งานง่ายแม้ไม่เคยใช้มาก่อน
✅ มีระบบ Power-Ups เพื่อเพิ่มฟีเจอร์เสริมได้ตามต้องการ

ข้อเสีย
❌ ฟีเจอร์บางอย่างต้องใช้ในแผนเสียเงิน
❌ ไม่เหมาะสำหรับงานที่ซับซ้อนมาก

2. Asana

Asana software

Asana คือแพลตฟอร์มจัดการโครงการและติดตามงานที่ออกแบบมาเพื่อให้ทีมสามารถวางแผนและตรวจสอบความคืบหน้าของโปรเจกต์ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ลิสต์, ไทม์ไลน์ และบอร์ด ช่วยให้เห็นภาพรวมของโปรเจกต์ได้อย่างชัดเจน มีระบบมอบหมายงาน, ตั้งเวลาเสร็จ, และติดตามผล พร้อมการเชื่อมต่อกับแอปอื่น เช่น Google Calendar, Slack และ Zoom

จุดเด่น - มุมมองหลายรูปแบบและระบบติดตามความคืบหน้าที่แม่นยำ

ข้อดี
✅ รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
✅ สามารถกำหนดเป้าหมายและติดตาม OKRs ได้

ข้อเสีย
❌ อินเทอร์เฟซอาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น
❌ บางฟีเจอร์มีเฉพาะในแผนพรีเมียม

3. Notion

Notion software

Notion คือเครื่องมือแบบ All-in-One สำหรับจดบันทึก, วางแผน, จัดการงาน, และทำฐานข้อมูลร่วมกันในทีม ผู้ใช้สามารถสร้างเพจ, ใส่ตาราง, ใส่ Kanban board หรือแม้แต่สร้างระบบจัดการโปรเจกต์ทั้งชุดในหน้าเดียว เหมาะทั้งสำหรับงานส่วนตัวและงานทีม มีเทมเพลตให้เลือกใช้มากมาย

จุดเด่น - ความยืดหยุ่นสูง ปรับแต่งได้ตามสไตล์การทำงานของแต่ละคน

ข้อดี
✅ รวมหลายฟังก์ชันไว้ในที่เดียว
✅ เหมาะทั้งกับการวางแผนโครงการและการจดบันทึก

ข้อเสีย
❌ ต้องใช้เวลาเรียนรู้เบื้องต้น
❌ ฟีเจอร์ Collaboration แบบเต็มรูปแบบต้องใช้ในแผนแบบทีม

4. ClickUp

ClickUp software

ClickUp คือแพลตฟอร์มการจัดการงานและโครงการที่รวมทุกฟีเจอร์ไว้ในระบบเดียว เช่น Task Management, Time Tracking, Docs, และ Goal Setting สามารถปรับรูปแบบการมองงานได้ทั้งแบบลิสต์, บอร์ด, แผนภูมิ Gantt และ Timeline เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการจัดการงาน

จุดเด่น - ครบทุกอย่างในระบบเดียว ไม่ต้องสลับแอปไปมา

ข้อดี
✅ ฟรีแบบมีฟีเจอร์เยอะมาก
✅ สามารถสร้าง Automation ได้เอง

ข้อเสีย
❌ หน้าตาแอปอาจดูรกถ้ามีข้อมูลเยอะ
❌ มีช่วงที่โหลดช้าในบางครั้ง

5. Microsoft Teams

Microsoft Teams software

Microsoft Teams คือแพลตฟอร์มการสื่อสารและจัดการงานของ Microsoft ที่รวมแชท, วิดีโอคอล, แชร์ไฟล์ และเครื่องมือจัดการโปรเจกต์ไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 อยู่แล้ว สามารถสร้าง Channels สำหรับแต่ละโปรเจกต์ หรือทีมย่อยได้ พร้อมการทำงานร่วมกับ Word, Excel, Planner และ OneNote

จุดเด่น - ผสานกับ Microsoft 365 อย่างไร้รอยต่อ

ข้อดี
✅ ใช้งานร่วมกับไฟล์ Office ได้ทันที
✅ เหมาะสำหรับการประชุมและการทำงานแบบองค์กร

ข้อเสีย
❌ ใช้งานค่อนข้างซับซ้อนในช่วงแรก
❌ อาจทำงานช้าในอุปกรณ์สเปกต่ำ